Mercedes-Benz GLC with EQ Technology เปิดตัวแล้ว พร้อมชนคู่แข่งอย่าง BMW iX3 และ Audi Q6 e-tron โดยมีกำหนดเปิดตัวในยุโรปช่วงครึ่งแรกของปี 2026 และในออสเตรเลียช่วงครึ่งหลังของปีเดียวกัน
แม้จะใช้ชื่อใกล้เคียงกับ GLC เครื่องยนต์สันดาป แต่ GLC with EQ Technology ใช้แพลตฟอร์มเฉพาะสำหรับรถไฟฟ้า MB.EA แทนที่จะใช้โครงสร้างร่วมกับ GLC รุ่นเครื่องยนต์สันดาป
ดีไซน์แตกต่างจาก GLC รุ่นปกติ และต่างไปอย่างชัดเจนจากรุ่นไฟฟ้าอื่น ๆ บนแพลตฟอร์ม EVA เช่น EQE SUV กระจังหน้าโครเมียมทรงใหม่แบบ “brand-defining” กรอบโครเมียมหนาและตะแกรงลายตาข่ายรมดำ พร้อมไฟส่องสว่างโลโก้ดาวกลาง และไฟแบ็คไลท์ 942 จุด
ด้านหลังใช้ไฟท้ายลายดาวคล้าย E-Class ล้อมีให้เลือกสูงสุด 21 นิ้ว ไฟหน้า LED แบบ Digital Light รุ่นใหม่ให้ความสว่างละเอียดสูงขึ้น แต่กินไฟน้อยลง 50% พร้อมไฟสูง Ultra Range ที่ทำงานร่วมกับไฟหน้าปรับองศาเวลาเลี้ยว โดยใช้ข้อมูลจากกล้องและแผนที่เพื่อปรับองศาแสง
แม้ดีไซน์ตัวรถจะตั้งตรงกว่า EQE SUV แต่ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ (Cd) อยู่ที่ 0.26 ใกล้เคียงกับ EQE SUV ซึ่งอยู่ที่ 0.25
มิติตัวถัง GLC with EQ Technology เทียบกับ GLC ปกติ
- ความยาว 4,845 มิลลิเมตร (รุ่นปกติ 4,722 มิลลิเมตร)
- ความกว้าง 1,913 มิลลิเมตร (รุ่นปกติ 1,890 มิลลิเมตร)
- ความสูง 1,644 มิลลิเมตร (รุ่นปกติ 1,634 มิลลิเมตร)
- ระยะฐานล้อ 2,972 มิลลิเมตร (รุ่นปกติ 2,888 มิลลิเมตร)
ฐานล้อที่ยาวขึ้นทำให้มีพื้นที่วางขาเพิ่มขึ้น 13 มม. ด้านหน้า และ 47 มม. ด้านหลัง พื้นที่ศีรษะเพิ่มขึ้น 46 มม. ด้านหน้า และ 17 มม. ด้านหลัง ความจุห้องเก็บสัมภาระ 570 ลิตร (ขยายได้ถึง 1,740 ลิตรเมื่อพับเบาะหลัง 40:20:40) และมีช่องเก็บของด้านหน้า 128 ลิตร
รุ่นที่เปิดตัว GLC400 4Matic มอเตอร์คู่ ขับสี่ ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 94 kWh วิ่งได้สูงสุด 713 กม. ตามมาตรฐาน WLTP ใช้ไฟเฉลี่ย 14.9–18.8 kWh/100 กม. รองรับระบบไฟ 800V ชาร์จเร็ว DC สูงสุด 330 kW ชาร์จเพิ่มระยะทาง 300 กม. ได้ใน 10 นาที รองรับชาร์จกระแสสลับ AC 11 kW (สามารถเลือกเติมออพชั่นเป็น 22 kW) และรองรับ Vehicle-to-Home (V2H) กับ Vehicle-to-Grid (V2G) ในบางตลาด
ตัวรถให้พละกำลังสูงสุด 360 kW (490 PS) ทำ 0–100 กม./ชม. ใน 4.3 วินาที เกียร์สองสปีดด้านหลัง (เฟืองทด 11:1 สำหรับอัตราเร่ง/ลากจูง, 5:1 สำหรับความเร็วสูง) ลากจูงได้ถึง 2,400 กก. โหมดขับขี่: Eco, Comfort, Sport, Individual, Terrain ปรับแรงเบรกแบบ Regenerative ได้ 4 ระดับ พร้อม One-Pedal Mode แบตเตอรี่ลดการใช้โคบอลต์ และออกแบบให้ซ่อม/เปลี่ยนง่าย ใช้ฮีตปั๊มดึงความร้อนจากมอเตอร์และแบตเตอรี่มาใช้ในห้องโดยสาร
ช่วงล่างหน้าแบบ 4-Link ด้านหลังแบบ Multi-Link พร้อมออปชัน Airmatic และ rear-axle steering หมุนล้อหลัง 2.5° ไปทิศเดียวกับล้อหน้าเมื่อความเร็วเกิน 60 กม./ชม. หรือหมุนสวนได้สูงสุด 4.5° ลดรัศมีวงเลี้ยวเหลือ 11.2 ม. มีเสียงสังเคราะห์การขับขี่หลายแบบ เช่น Fractal Fusion (โทนเกมยุค 80 + synthwave) และ Granular Fuzz (ผสมกีตาร์ ออร์เคสตรา ธรรมชาติ และเอฟเฟ็กต์อิเล็กทรอนิกส์) รวมถึงระบบแจ้งเตือน AVAS ให้เลือกเสียงได้
ภายใน
-
ช่องแอร์ทรงกลม, ควบคุมเบาะบนแผงประตู
-
พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ ใส่ปุ่ม rocker สำหรับ Cruise Control และลูกกลิ้งปรับเสียง
-
ระบบเสียง Burmester 4D
-
ไฟ Ambient รวมถึงในหลังคากระจกพาโนรามา (ไฟส่องดาว 162 ดวง)
-
หลังคากระจกปรับความทึบ 9 โซน
-
เบาะ Comfort หรือ Sport ได้ตรารับรอง AGR (เพื่อสุขภาพหลัง)
-
วัสดุตกแต่ง Vegan (ผ่านการรับรอง The Vegan Society) หรือหนัง Nappa
-
วัสดุตกแต่งหลายแบบ เช่น ไม้ คาร์บอนไฟเบอร์ ผ้าผสมโลหะ
ติดตั้งหน้าจอ MBUX Hyperscreen 39.1 นิ้ว (จอผู้ขับ 10.3 นิ้ว + จอกลาง 14 นิ้ว + จอผู้โดยสาร 14 นิ้ว) รองรับกว่า 40 แอปและวิดีโอสตรีมมิง เช่น Disney+ พร้อมระบบ AI จาก Microsoft และ Google ผู้ช่วยเสมือนมี “avatar” รูปดาว Mercedes ตอบสนองสีหน้า/ท่าทาง
ระบบความปลอดภัย
-
กล้องสูงสุด 10 ตัว, เซนเซอร์ 5 ตัว, อัลตราโซนิก 12 ตัว
-
Adaptive Cruise Control พร้อม Lane Centering
-
Lane Change Assist Plus (อัตโนมัติเมื่อเปิดไฟเลี้ยว)
-
MB.Drive Assist Pro (ขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบในเมืองหนาแน่น)
-
จอดอัตโนมัติและกล้องรอบคัน
ตัวรถจะผลิตที่ Bremen เยอรมนี โดยร่วมไลน์กับ GLC เครื่องยนต์สันดาป ลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ตลอดอายุการใช้งานลงสองในสามเมื่อเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์สันดาป















ที่มา: CarExpert