
การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยกเลิก นโยบายสนับสนุนภาษีรถยนต์ไฟฟ้า มูลค่า 7,500 ดอลลาร์ กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ โดย จิม ฟาร์ลีย์ (Jim Farley) ซีอีโอของ Ford เตือนว่า หากไม่มีเงินสนับสนุนนี้ ความต้องการรถ EV ในสหรัฐฯ อาจลดฮวบลงถึง 50% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลประโยชน์ด้านภาษีมีบทบาทสำคัญมากต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกา
ในงาน “Ford Pro Accelerate” ที่เมืองดีทรอยต์ ฟาร์ลีย์กล่าวว่า ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ อาจ ลดเหลือเพียง 5% ซึ่งเท่ากับระดับเมื่อปี 2022 และต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ 10–12% ในเดือนนี้อย่างมาก เขาเตือนว่า หากไม่มีนโยบายสนับสนุนด้านภาษี ตลาดรถ EV จะ เติบโตช้ากว่าที่คาด และอาจทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานไฟฟ้าสะดุดลง
“อุตสาหกรรมนี้ยังมีโอกาสเติบโต แต่จะมีขนาด เล็กลงมาก กว่าที่เราคิดไว้ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องกฎหมายไอเสีย และเครดิต 7,500 ดอลลาร์หมดไป” ฟาร์ลีย์กล่าว “ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้ายอดขาย EV ในสหรัฐฯ ลดลงเหลือแค่ 5% ภายในเดือนหน้า” นอกจากนี้ Ford ยังต้อง ปรับกลยุทธ์ ใหม่ โดยทีม Model e กำลังวิเคราะห์ความต้องการตลาด และอาจต้องหาวิธีใช้ประโยชน์จาก กำลังการผลิตรถ EV และโรงงานแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ ให้คุ้มค่า
“เรายังผลิตรถ EV ได้ แต่ความกดดันจะเพิ่มขึ้น เพราะตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เรามีนโยบายที่คาดการณ์ได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว” ฟาร์ลีย์กล่าว “ทุกบริษัทต้องปรับตัว ผมเชื่อว่าสุดท้ายจะเป็นผลดีต่อประเทศ แต่ก็จะเพิ่มความท้าทายให้กับเรา”
เขายังยอมรับด้วยว่า ผู้บริโภคไม่ต้องการรถ EV ราคาแพง และ Ford จำเป็นต้องสร้างรุ่นที่ ราคาถูกกว่า แต่เมื่อไม่มีเครดิตภาษีแล้ว การทำให้ราคาถูกลงก็จะ ยากขึ้นกว่าเดิม “ลูกค้าไม่อยากซื้อรถ EV ที่ราคา 75,000 ดอลลาร์” ฟาร์ลีย์ย้ำ “แม้ว่ามันจะเร็ว ประหยัด และไม่ต้องแวะปั๊ม แต่สุดท้ายแล้ว…มันก็ยังแพงเกินไป”
ที่มา: Carscoops