
บริษัท General Motors และ LG Energy ได้ประกาศแผนการนำเซลล์แบตเตอรี่แบบปริซึมที่มีส่วนผสมของลิเธียมแมงกานีสในสัดส่วนสูง (Lithium Manganese-Rich: LMR) มาใช้ในรถกระบะไฟฟ้าและรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) ขนาดใหญ่ โดย GM ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ผลิตรายแรกที่นำแบตเตอรี่ LMR มาใช้งานในยานยนต์ประเภทดังกล่าว และมีแผนเริ่มต้นสายการผลิตภายในปี 2028
ทาง GM ระบุว่าแบตเตอรี่ LMR ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากแบตเตอรี่แบบดั้งเดิมที่ใช้ในปัจจุบันต้องอาศัยวัสดุที่มีราคาสูง อาทิ นิกเกิล แมงกานีส และโคบอลต์ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าสูงกว่าที่ควรจะเป็น แบตเตอรี่ LMR ได้รับการพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเพิ่มสัดส่วนของแมงกานีสซึ่งเป็นวัสดุที่มีต้นทุนต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ GM ระบุว่าแบตเตอรี่รุ่นใหม่นี้ให้ความจุพลังงานและความหนาแน่นพลังงานที่สูงขึ้น แม้จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเชิงเทคนิคอย่างละเอียด แต่มีการระบุว่าเซลล์แบตเตอรี่ LMR แบบปริซึมรุ่นล่าสุดมีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่าเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียมไอรอนฟอสเฟต (LFP) ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดอยู่ประมาณ 33% โดยยังสามารถควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน
จากพัฒนาการดังกล่าว คาดว่าจะมีการเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 650 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง พร้อมกับต้นทุนแบตเตอรี่ที่ลดลงอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่แพ็คที่มีนิกเกิลสูงในปัจจุบัน
ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมเซลล์แบตเตอรี่ขั้นสูงของ GM เปิดเผยว่า เทคโนโลยีแบตเตอรี่ LMR เป็นผลลัพธ์จากการวิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี โดยเสริมว่า ยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นปัจจุบันของ GM ซึ่งรวมถึงรถกระบะและ SUV ไฟฟ้า ใช้เซลล์แบตเตอรี่แบบ NMCA ที่มีองค์ประกอบประมาณ 85% เป็นนิกเกิล, 10% เป็นแมงกานีส และ 5% เป็นโคบอลต์ ในขณะที่แบตเตอรี่ LMR มีโครงสร้างส่วนผสมที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน โดยใช้แมงกานีสประมาณ 65%, นิกเกิล 35% และแทบไม่มีโคบอลต์เลย ด้วยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แบตเตอรี่ LMR จึงสามารถลดการพึ่งพาวัสดุที่มีต้นทุนสูงลงได้อย่างมาก พร้อมเพิ่มสัดส่วนของวัสดุที่มีราคาถูกกว่า ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการลดต้นทุนรวมของระบบพลังงานในยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต