EN / TH

Audi E5 Sportback รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่พัฒนาร่วมกับ SAIC

25 เมษายน 2568

GWM วางแผนตีตลาดกระบะฟูลไซส์ ท้าชนแบรนด์อเมริกา Chevrolet Ford RAM

25 เมษายน 2568

ZEEKR Group เปิดตัว ZEEKR 9X SUV ขุมพลังไฮบริดรุ่นแรกของแบรนด์

25 เมษายน 2568

Toyota เปิดตัว bZ7 ซีดานไฟฟ้าระดับเรือธง พัฒนาร่วมกับ GAC

24 เมษายน 2568

All-new Lexus ES เปิดตัวแล้ว มาพร้อมขุมพลังไฮบริดและไฟฟ้า!

24 เมษายน 2568

GAC Honda GT และ Dongfeng Honda GT รถยนต์ไฟฟ้าซีรีส์พิเศษสำหรับตลาดประเทศจีน

24 เมษายน 2568

เปิดตัว Nissan Frontier Pro รถกระบะปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์เบนซิน ช่วงล่างด้านหลังแบบ 5-Link

23 เมษายน 2568

Dongfeng Nissan N7 เปิดตัวที่งาน Auto Shanghai 2025 วิ่งได้ไกล 635 กิโลเมตร!

23 เมษายน 2568

เผยภาพภายใน Mazda EZ-60 มาพร้อมจอกลางขนาด 26 นิ้ว ความละเอียด 5K

22 เมษายน 2568

เนต้า ผู้อยู่ริมหน้าผา ใกล้กลับมาเกิดใหม่เพราะ .....?

19 เมษายน 2568

เผยสเปคและราคาในออสเตรเลีย KIA Tasman

18 เมษายน 2568

Honda Fit ไมเนอร์เชนจ์ในประเทศจีน กระจังหน้าเปลี่ยนใหม่หมด!

18 เมษายน 2568

ไม่พบข้อมูล

กลับไปหน้า บทความ

EV ไทยในเงื้อมมือจีน: เมื่อแผนใหญ่ต้องเจอความเสี่ยงและความท้าทาย"

20 มกราคม 2568| จำนวนผู้เข้าชม 485

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลกกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่กำลังมีการลงทุนจากผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ จากนโยบายของรัฐบาลที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า


ในขณะที่จีนเริ่มเปิดตลาดโดยส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเข้าประเทศไทย และหลายค่ายมีการลงทุนเพื่อการผลิครถในประเทศ โดยคาดหวังว่าจะทำให้ “ราคา”รถยนต์ มีต้นทุนที่ต่ำลงและสามารถแข่งขันได้มากยิ่งขึ้น แต่การวิเคราะห์ในเชิงลึกเราพบว่า ข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า "รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศไทย"ต้นทุนสูงกว่าทำให้ราคาไม่ถูกเท่าที่ผลิตในจีน สิ่งนี้น่าสนใจยิ่งเพราะ"หากต้องผลิตรถแพงกว่าแล้วทำไม"จีนต้องมาผลิตที่ไทย ทั้งที่จีนสามารถใช้กลยุทธ์ด้านต่างๆ ก้าวข้ามกำแพงภาษีและข้อกีดกันทางการค้าอื่นๆ ที่เป็นอุปสรรคในการส่งรถสำเร็จรูปมาตีตลาดไทย เหตุผลที่จีนไม่สามารถผลิตในต้นทุนต่ำได้ในไทย


1.ข้อจำกัดของซัพพลายเชน
ซัพลายเชนของไทย ผูกติดกับรถยนต์สันดาปภายในและอยู่ในฝั่งค่ายรถญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นเรือธงของฝั่งอุตสาหกรรมรถยนต์จีนแทบไม่มีซัพพลายเชนในไทย เชื่อมโยงได้เมื่อเทียบกับในจีน ที่มีการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมากกว่า 75% ของโลก ชิ้นส่วนสำคัญนี้ประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้า แม้ว่ารัฐบาลจะมีโครงการส่งเสริมการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศแต่ยังต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะพัฒนาได้สมบูรณ์ ในระหว่างนี้ต้นทุนและวัสดุชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า จึงมีราคาสูงกว่าและเป็นหนึ่งในเหตุผลทำให้ราคารถยนต์จีน ที่เน้นรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในไทยยังคงสูงอยู่

2.ค่าแรงและต้นทุนการดำเนินงาน
ค่าแรงและต้นทุนการดำเนินงาน ของประเทศไทยสูงกว่าจีน โดยเฉพาะในภาคแรงงานที่ต้องความเชี่ยวชาญ เช่น การผลิตแบตเตอรี่และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เนื่องจากปริมาณบุคคลากรของไทยมีน้อย เห็นได้ว่าจีนต้องแก้ปัญหานี้โดยนำเข้าหัวหน้างาน ในระบบล่างไปจนถึงวิศวกร บางโรงงานถึงกำหนดโควต้าสัดส่วน พนักงานคนจีนกับคนไทยเพื่อให้เกิดความคล่องตัวต้นทุนการดำเนินงานในการตั้งโรงงานและบริหารโรงงานในไทยบางกรณีสูงกว่าจีน เนื่องจากค่าสาธารณูปโภคที่สูงกว่าและหาเทียบการส่งเสริมด้วยเม็ดเงินจากภาครัฐ การสนับสนุนจากรัฐบาลไทยน้อยกว่าเมื่อเทียบกับจีน

3.สิทธิประโยชน์จากรัฐบาล
แม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิตและผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งก็เป็นรถยนต์จากจีนเสียเป็นส่วนใหญ่แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมและระยะยาวเท่ากับที่จีนให้แก่ผู้ผลิตของตัวเอง สิ่งนี้ทำให้การผลิตรถในจีนมีต้นทุนต่ำกว่า รัฐบาลจีนได้สนับสนุนการผลิตและการขายรถยนต์ไฟฟ้ามากว่ายี่สิบปี สร้างตลาดในประเทศที่แข็งแกร่ง ส่วนสิทธิประโยชน์ในประเทศไทยเพิ่งเริ่มต้น

4.รถจีนไม่ถูกเพราะต้องการภาพพจน์ไฮเอ็นด์
ทีนี่เป็นเรื่องของการตลาดการที่รถยนต์ไฟฟ้าจากจีน หรือรถยนต์ไฮบริด แบรนด์จีน กำหนดราคาในตลาดระดับกลาง-บน เป็นผลมาจากกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ โดยรถยนต์จากจีนส่วนใหญ่ ในไทย วางตำแหน่งแบรนด์และการรับรู้ของตลาด เป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม มีเพียง 1 ยี่ห้อคือ เนต้าเท่านั้นที่มีเป้าหมาย กระตุ้นการใช้งานในวงกว้าง ในขณะที่แบรนด์จีนส่วนใหญ่ ที่เข้ามาในตลาดไทย วางตำแหน่งรถยนต์ของตนเป็นสินค้าระดับพรีเมียม ไม่ว่า บีวายดี เอ็กซ์เผิง ดีพอล เกรทวอลล์ ซึ่ง การกำหนดราคาขายปลีกที่สูงขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ อย่างไรก็ตาม รถยนต์จีนไม่ค่อยประสบความสำเร็จในส่วนนี้มากนักเพราะสุดท้าย แบรนด์จีนเหล่านั้นก็ หั่นราคาลงมา เพราะขายไม่ได้

5.ปริมาณการผลิตน้อย
"อีโคโนมี่ ออฟ สเกล" ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ มีความหมายมาก เพราะ ประโยชน์ที่เกิดจากการผลิตในปริมาณมาก ช่วยลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยสินค้ายิ่งบริษัทผลิตชิ้นส่วนหรือยานยนต์ได้ในปริมาณที่สูงขึ้น ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยจะลดลง เนื่องจากการกระจายค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed Costs) และประสิทธิภาพในการจัดการวัตถุดิบ การขนส่ง และกระบวนการผลิต
ในประเทศจีนมีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมาก (Mass Production) บีวายดี สามารถสร้างสถิติผลิตรถ BEV เป็นลำดับ 1 ของโลกแต่ความพยายามสร้างปริมาณการผลิตในไทยกลับทำไม่ได้ เพราะขนาดตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ มีขนาดเล็ก ยอดขายต่อปีเพียง 76,314 คัน หรือคิดเป็น 12.02% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ทั่วประเทศที่มีจำนวน 634,948 คัน และในปี 2567 รถยนต์ไฟฟ้ามียอดจดทะเบียน 7 หมื่นคันลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าดังนั้นโดยรวมตลาดไทย จึงถือว่ามีขนาดเล็กมาก
"ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทุกยี่ห้อรวมกัน ในไทย 1 ปี เทียบได้เท่ารถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์เล็กๆ ในจีนขายแค่ 30 วัน เป็นเรื่องยากหากมอง อีโคโนมี่ ออฟ สเกล" ปัจจัยนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ โดยมีผลทำให้ราคาต้นทุนผลิตรถยนต์จีนในไทยลดลงคือ การผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งจะต้องผลิตจำนวนมาก"

สิ่งที่น่าสนใจ ในประเด็น"อีโคโนมี่ ออฟ สเกล" คือ ผู้ผลิตรถยนต์จีนต่างกระจายการลงทุนโรงงานเพื่อผลิตรถในสมาชิกอาเซียน ที่มีตลาดสำคัญๆ ทั้งไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียตนาม ซึ่งรถจีนจากไทยไม่มีความจำเป็นต้องส่งออก ไปอินโดฯหรือมาเลฯ กลยุทธ์นี้ขัดแย้งกับแนวทางการใช้ประโยชน์จากการลดภาษีระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน (AFTA) ในเรื่อง ของอีโคโนมี่ ออฟ สเกล ซึ่งเราก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ในเวลานี้ว่า ผู้ผลิตจีนคิดอะไรอยู่?


มีคำถามว่าในเมื่อต้นทุนในจีนต่ำกว่าแล้วจะยังคงผลิตในไทยเพื่ออะไร"

แม้ต้นทุนการผลิตรถยนต์ของค่ายรถจีนในไทยอาจสูงกว่าจีน แต่ผลประโยชน์ในเชิงกลยุทธ์ เช่น การลดข้อจำกัดด้านการค้า การใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออก การสนับสนุนจากรัฐบาล และการสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาด ทำให้จีนยังคงพยายามเพิ่มกิจกรรมการผลิตในไทย และหากมองปัจจัยสำคัญในแง่ของการแข่งขันทางการค้า โรงงานรถยนต์ของจีน ที่กระจายอยู่ในทุกประเทศอาเซียน คือการ ลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์  การกระจายฐานการผลิตออกนอกจีนช่วยลดความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับประเทศอื่น ๆ ในแง่ของการตลาดการผลิตในไทย ช่วยให้ค่ายรถจีนสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค นอกจากนี้ การมีโรงงานผลิตในไทยช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคในด้านความพร้อมของชิ้นส่วนและการซ่อมบำรุง การสนับสนุนด้านบริการหลังการขาย และนำมาซึ่ง ความจงรักษ์ภักดีต่อแบรนด์ ในอนาคต

ปัจจัยทั้งหมดทำให้การผลิตรถยนต์ของจีนในไทยไม่ทำให้”ต้นทุนราคาของรถยนต์ไฟฟ้า”ต่ำลง ดั้งนั้น จึงเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนระดับประเทศที่ต้องพิจารณาว่า จีนจะเดินหน้าอย่างไรกับอนาคต ซึ่งจีนประกาศแผนการลงทุนก่อสร้างโรงงานต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่ปัจจัยต่างๆ ล้วนไม่เอื้ออำนวย ส่วนเป้าหมายการสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยจะสามารถบรรลุเป้าได้ไม่ ล้วนมีความเสี่ยงเพราะนโยบายของไทยเราผูกติดกับรถยนต์จีนมาก ข้อสงสัยเหล่านี้ คงมีคำตอบในไม่นานนี้ 


แชร์บทความนี้


ข่าว/บทความที่เกี่ยวข้อง

ไขหลักการทำงาน "หัวฉีด i-ART" กุญแจความประหยัด TOYOTA HILUX REVO

28 กุมภาพันธ์ 2568

ข่าวร้ายส่งท้ายปี รง.เนต้าไทย เลิกจ้าง" เมื่อบริษัทแม่อ่อนแอ บริษัทลูกขาดอากาศหายใจ"

26 ธันวาคม 2567

วิเคราะห์เครื่องยนต์ใหม่ ISUZU คาด..ยังไม่ทิ้งเครื่อง 1.9 และ 3.0 เพราะ..?

16 พฤศจิกายน 2567

เวียตนาม ส่งออกเข้าไทย"สัญญาณเตือนครั้งใหญ่" หากรัฐไม่ตื่นมีล่ม

9 พฤศจิกายน 2567

BYD ผู้เปลี่ยนโฉมหน้าตลาดรถไทย และบทเรียนของผู้เร่งซื้อBEV

3 กรกฏาคม 2567

ซูซูกิ ปิดโรงงานนัยยะแฝงที่มากกว่าหยุดผลิต

7 มิถุนายน 2567

ผ่าเนื้อในรถยนต์ไทย ทำไมร่วงเละ ไตรมาส 2 ยังไร้แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

7 พฤษภาคม 2567

อีซูซุ ซีรี่ส์ ตอน 4: จากเดี่ยวไดเร็คฯ สู่กระบะอีวี

28 เมษายน 2567

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และเพื่อให้ท่านได้รับการบริการที่ดีที่สุด กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

ยอมรับ